24 พ.ค. 2558

กิจกรรมระหว่างภาคเรียน

เยี่ยมชมงานพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย

ประวัติธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)


            ธนาคารไทยพาณิชย์ นับเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของประเทศไทยด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชทฤทัย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของระบบการเงินการคลังและเศรษฐกิจของประเทศ ในชั้นแรกทรงริเริ่มดำเนินกิจการธนาคารพาณิชย์เป็นการทดลองในนาม "บุคคลัภย์" (BOOK   CLUB) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2447 โดยใช้อาคารของกรมพระคลังข้างที่ ตำบลบ้านหม้อ เป็นสำนักงานซึ่งปรากฎว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
            ต่อมากรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยทรงให้การสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์อย่างเป็นทางการ  ในที่สุดธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกก็ถือกำเนิดขึ้น โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อนจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานอำนาจพิเศษให้จัดตั้ง "บริษัทแบงก์สยามกัมมาจลทุน กำจัด" เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2449 และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้  " ตราอาร์มแผ่นดิน " เป็นตราประ จำบริษัทนับเป็นธนาคารแรกที่ได้มีข้อความจารึกพิเศษ "ตั้งโดยพระบรมราชานุญาต" และนับได้ว่ากรมหมื่นมหิศรราชฤทัยเป็น พระบิดาแห่งการธนาคารไทย ในฐานะที่ทรงก่อตั้งสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยจนกลายเป็นต้นแบบธนาคารไทยในปัจจุบัน

            ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกเลิกตราอาร์มแผ่นดินและเปลี่ยนเป็นตราครุฑธนาคารจึงได้ใช้ "ตราครุฑ" แทนตราอาร์มแผ่นดินตั้งแต่นั้นมา  ในปี พ.ศ. 2451 บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ได้ย้ายที่ทำการจาก ตำบลบ้านหม้อ มาอยู่อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ ตำบลตลาดน้อย ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด " เมื่อวันที่ 27 มกราคม   พ.ศ. 2482 ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 จึงได้ย้ายที่ทำการสำนักงานใหญ่ไปอยู่ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ส่วอาคารเดิมได้เปลี่ยนเป็นสาขาตลาดน้อย
            ธนาคารได้รับการจดทะเบียนให้ใช้ชื่อว่า "ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) " และใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Siam Commercial Bank Public Company Limited" เมื่อวันที่ 19 กุมพาพันธ์ พ.ศ. 2536   ด้วยวิสัยทัศน์ก้าวไกลในการปรับตัวเพื่อเตรียมพร้อมสู่ยุคเศรษฐกิจและนโยบายการก้าวสู่ระดับมาตรฐานสากลธนาคารจึงสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่บริเวณถนนรัชดาภิเษก และเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2539 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ รัชโยธินอีกหนึ่งอาคารอัจฉริยะสมบูรณ์แบบที่เพียบพร้อมด้วนเทคโนโลยีอันทันสมัยควบคุมด้วยระบบ BAS (Building Automation System) ทั้งในด้านเครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้า น้ำประปา ที่สนองตอบนโยบายของรัฐบาลในการประหยัดพลังงานอีกทั้งความงดงามด้านสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นผสมผสานความทันสมัยและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

            ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อนพระราชทานอำนาจพิเศษ ให้บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด จดทะเบียนเป็นบริษัทและพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราอาร์มแผ่นดินเป็นตราประจำของบริษัทตั้งแต่ พ.ศ. 2449 (ร.ศ.125)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย

            พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2408 และได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2450 เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งธนาคารไทยแห่งแรกขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2447(ร.ศ.123) ในชื่อว่า "บุคคลัภย์" (BOOK CLUB) และจดทะเบียนเป็นธนาคารเมื่อ พ.ศ.2449 (ร.ศ.125) ในชื่อว่าบริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
              ทรงพระราชดำรัสในงานฉลองครบรอบ 50 ปี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ว่า
 "...กิจการในด้านการเงินที่จะเจริญรุ่งเรืองไปได้ ก็ย่อมต้องอาศัยความซื่อสัตย์ในทางปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้ที่มาติกต่อกับธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ได้ทำตนให้ประจักษ์แจ้งในข้อนี้จึงได้รับคำชมเชยจากผู้มาติดต่อไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นข้าราชการ พ่อค้า คหบดิทุกประการย่อมต้องการสถาบันการเงินที่มั่งคงที่ดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของประเทศและเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมกับรักษาประโยชน์ของตนให้ได้ดี..."
พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย

ประวัติความเป็นมา

                 ตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีเอกสารสำคัญ และเครื่องมือเครื่องใช้จำนวนมาก อันบ่งบอกถึง วิวัฒนาการแห่งความเจริญก้าวหน้า ในระบบการเงินการธนาคารของประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็น ภาพในอดีตได้อย่างชัดเจนและด้วยตระหนักถึง คุณค่าของความรู้ อันสืบเนื่องมาจาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ของระบบการเงินการธนาคาร ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่า และเป็นของหายากในปัจจุบัน ธนาคารจึงได้จัดสร้าง พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยขึ้น เพื่อเป็นสถานที่ในการจัดแสดง สิ่งของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ ด้านการเงินการธนาคารของชาติ สำหรับเป็นแหล่งค้นคว้าด้านวิชาการ อันเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง ซึ่งสามารถใช้เป็นที่ค้นคว้าเพิ่มต่อไปได้
                 ธนาคารได้ทำพิธีเปิด พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยแห่งนี้ เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2539 ณ บริเวณชั้น 2 อาคารพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย และในโอกาสครบรอบ 100 ปี ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ดำเนินการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2550

แผนผังพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย

     ส่วนที่ 1 วิวัฒนาการเงินตรา

                  ก่อนที่จะนำเงินตรามาใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายกันดังในปัจจุบัน คนเราได้นำระบบการแลกเปลี่ยนผลิตผลของตน กับสิ่งอื่นที่ต้องการมาใช้ตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์แล้ว แต่การแลกเปลี่ยนโดยตรงที่กล่าวนี้ไม่สะดวก เนื่องจากผลิตผลบางชนิด เป็นสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์เลี้ยงไม่สามารถตัดแบ่งกันได้ สินค้าที่นำมาแลกเปลี่ยนกัน มีคุณภาพไม่เท่ากัน นอกจากนี้ความต้องการของผู้ที่มีผลิตผล ที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน การแลกเปลี่ยนจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย คนเราจึงเริ่มนำเอาวัตถุมีค่าบางชนิด ซึ่งถือกันว่า เป็นของมีค่าในสังคมขณะนั้น มาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน วัตถุที่นำมาใช้เป็นสื่อกลางนี้ มีหลากหลายชนิดแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม และยุคสมัย เช่น ปศุสัตว์ ลูกปัด เกลือ เปลือกหอย ขนนก ขวานหิน หัวลูกธนู หนังสัตว์ ฟันปลาวาฬ เครื่องประดับ โลหะต่าง ๆ เป็นต้น
                  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คนเราได้นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน จึงเกิดระบบการแลกเปลี่ยน โดยใช้สื่อกลางขึ้น ในบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มากมายหลายชนิดนั้น แร่เงินและแร่ทองคำ มีคุณสมบัติที่เหนือกว่า ผลิตผลทางการเกษตร เช่น หายาก คงทน ตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทอนค่าลงได้ โดยไม่เสียคุณสมบัติเดิม หลอมรวมกันเป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ พกพาสะดวก ทำเครื่องประดับได้งดงาม ผู้คนในสังคมต่างๆ ทั่วโลก จึงนิยมใช้โลหะทั้งสองชนิด เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์

ส่วนที่ 2 วิวัฒนาการธนาคาร

                 การเก็บอาหารและสิ่งมีค่านั้น เป็นนิสัยอย่างหนึ่ง ที่คนเราประพฤติปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยโบราณ ควบคู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแล้ว เมื่อมีการนำสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเข้ามาใช้ การเก็บรักษาทรัพย์สินตลอดจนอาหาร จึงค่อยๆ เปลี่ยนรูปมาเป็น การเก็บออมสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน สถานที่ซึ่งสามารถอำนวยความปลอดภัย ในการเก็บรักษาสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนจึงเกิดขึ้นต่อมา สถานที่รับฝากเหล่านี้ ได้นำสิ่งของสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ที่รับฝากไว้ และมีจำนวนมากออกให้ยืม โดยได้รับผลตอบแทน กิจการธนาคารจึงเกิดขึ้น
                ครั้นเมื่อมีการนำโลหะเงิน และโลหะทองมาใช้เป็นเงินตราแล้ว ด้วยมาตรฐานของเงินตรา ที่เป็นโลหะที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกชิ้น จึงทำให้เกิดความสะดวก ในการชำระหนี้มากขึ้น การค้าขายจึงแพร่หลาย กว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อการเดินเรือสามารถทำได้กว้างขวางขึ้น การค้าขายทางทะเล ก็สามารถทำได้กว้างขวางตามไปด้วย ความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างสกุล ซึ่งมีน้ำหนัก และความบริสุทธิ์ของเนื้อเงินต่างกันก็เกิดขึ้น การส่งเงินไปชำระหนี้ และการรับฝาก การเรียกเก็บเงิน การให้กู้ยืมเงิน จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ธุรกิจการธนาคาร แพร่หลายและรุ่งเรืองต่อมา

ส่วนที่ 3 ต้นแบบธนาคารไทย

                การติดต่อและค้าขายกับต่างประเทศ ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นเหตุสำคัญ ทำให้ต่างประเทศเห็นเป็นช่องทาง ที่จะหาประโยชน์ จากการที่ประเทศไทยขาดธนาคาร ที่จะทำธุรกิจ การธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ จึงได้เข้ามาเปิดสาขา ดำเนินกิจการในประเทศไทย โดยเริ่มตั้งแต่ พุทธศักราช 2431 เป็นต้นมาและในที่สุด สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ทั้ง 3 แห่ง ได้จัดพิมพ์ และนำบัตรธนาคาร เข้ามาใช้ในระบบการเงินของไทยด้วย ในระยะต่อมาด้วยความสำคัญของธุรกิจการธนาคาร ที่มีต่อการค้าและเศรษฐกิจของประเทศนั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เสนาบดี กระทรวงพระคลังมหาสมบัติในขณะนั้น จึงทรงคิดตั้ง ธนาคารของชาติ หรือธนาคารกลางขึ้นก่อน เพื่อที่จะให้เป็น ตัวแทนทางการเงินของรัฐบาล แล้วยังจะทรงให้ ธนาคารของชาตินี้ เป็นผู้พิมพ์ธนบัตรของประเทศขึ้น และนำออกใช้อีกด้วย แต่ก็ต้องทรงระงับความคิดนี้ไว้เนื่องจากบรรดาที่ปรึกษาทางการเงิน ชาวต่างประเทศพากันคัดค้าน พระองค์จึงทรงหันไป ปรับปรุงมาตราหน่วยเงินของไทย ให้เป็นระเบียบ แต่เพียงประการเดียว โดยทรงพิจารณา ลดหน่วยเงินตราของไทยลง จากเดิม 9 หน่วย ได้แก่ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ซีก เสี้ยว อัฐ และโสฬส ให้เหลือเพียง 2 หน่วย ได้แก่ บาทและ สตางค์อันเป็นระบบทศนิยม ทำให้สะดวกแก่การคิดคำนวณ และลงบัญชี ในพุทธศักราช 2441 พร้อมกับได้เริ่มติดต่อกับประเทศอังกฤษ เพื่อพิมพ์ธนบัตร เข้ามาใช้ใน พุทธศักราช 2445
              ระบบการเงินของไทย จึงประกอบด้วย เหรียญกษาปณ์ และธนบัตร เมื่อได้จัดรูปแบบของ ระบบเงินตราของประเทศเรียบร้อยแล้ว จึงประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วง ชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม พุทธศักราช 2447ส่วนทางด้านความคิด จะจัดตั้งธนาคารขึ้นนั้น เมื่อยังไม่สามารถ จัดตั้งธนาคารของรัฐขึ้นได้ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย จึงทรงหันไปพิจารณา ธนาคารของเอกชน หรือธนาคารพาณิชย์ ซึ่งทรงตระหนักดี ถึงความจำเป็นของประเทศ ที่ต้องมีการค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา                            นอกจากนี้ ยังทรงเห็นถึงความยากลำบาก ของบรรดาพ่อค้าชาวไทย และจีน ที่ต้องติดต่อขอใช้บริการจาก สาขา  ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ที่มีอยู่ในขณะนั้น แต่ก็มิได้รับความสะดวก ประกอบกับ การที่ประเทศไทยยังไม่มีธนาคารพาณิชย์ ที่เป็นของคนไทยมารองรับพระองค์จึงทรงตัดสินพระทัย ที่จะจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นมาให้จงได้ จึงทรงเห็นว่า น่าที่จะทดลองดำเนินงานดูก่อน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ มีความรู้ในการบริหารธนาคารขึ้นแล้ว เมื่อจะขยายกิจการให้ใหญ่โตต่อไป ก็จะสามารถนำประสบการณ์ ไปใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ที่สำคัญคือ เป็นการฝึกให้ชาวไทย มีความรู้ในด้านการบริหารธนาคารพาณิชย์อีกด้วย พระองค์ทรงจัดหาเงินลงทุนได้ จำนวน 30,000 บาทแล้ว ก็ทรงเตรียมการจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก โดยยื่นขออนุญาตจัดตั้ง บุคคลัภย์ขึ้น เริ่มสั่งซื้อกระดาษ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ติดต่อขอเช่าตึกแถวของพระคลังข้างที่ ตำบลบ้านหม้อ พร้อมทั้งจัดหาพนักงาน รวมทั้งผู้จัดการไว้ เตรียมทำพิธีเปิดดำเนินการต่อไป เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว

ส่วนที่ 4 ไทยพาณิชย์กับการก้าวสู่ยุคปัจจุบัน

                ภาพพจน์ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ปรากฏในความรู้สึกของสาธารณชน คือ ความมั่นคง มีผู้บริหารมืออาชีพ มีความเจริญเติบโตสูง เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีการธนาคาร ในขณะที่มุ่งเน้น การนำเทคโนโลยีใหม่ มาบริการแก่ลูกค้า แต่ก็สามารถรักษาผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น ลูกค้าและพนักงานของธนาคารการนำเทคโนโลยี เข้ามาให้บริการแก่ลูกค้า นอกจากจะอำนวยความสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังคำนึงถึงการเพิ่มคุณค่า ในบริการที่ให้แก่ลูกค้า และการแพร่ขยายธุรกิจไป ในด้านต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ นับตั้งแต่ธนาคาร ได้นำระบบบริการเงินด่วน ATM เข้ามาบริการแก่ลูกค้า เป็นธนาคารแรกในประเทศไทยแล้ว ก็ดูเหมือนว่า เป็นก้าวสำคัญ ของการเปลี่ยนแปลงของการธนาคารพาณิชย์ไทย ไปสู่การเป็นธนาคารใน ระบบธนาคารพาณิชย์ สมัยใหม่ จากนั้นธนาคาร ได้สร้างศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ไทยพาณิชย์ขึ้น เพื่อเก็บสำรองข้อมูล และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนา และให้บริการแก่ลูกค้า และยังใช้เป็นข้อมูล ในการตัดสินใจด้านการบริหารที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย

เงินตราโลก


            โดยที่โลหะเงินหาได้ง่ายกว่าโลหะทองคำ จึงมีมูลค่าในการแลกเปลี่ยนสินค้าอื่นน้อยกว่าโลหะทองคำ ประกอบกับมีจำนวนมาก โลหะเงินจึงเหมาะที่จะนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หรืออีกนัยหนึ่ง การนำโลหะเงินมาซื้อสินค้าที่ต้องการ จึงเป็นที่นิยมกันเป็นจำนวนมากกว่า และนิยมใช้กันกว้างขวาง มากกว่าโลหะทองคำ
           การยอมรับก้อนโลหะเงินว่าเป็นสื่อกลาง ในการชำระหนี้อย่างกว้างขวางในสังคมต่างๆ นี้ มีผลช่วยให้การแลกเปลี่ยนสินค้า กระทำกันได้กว้างขวางมากขึ้น การค้าระหว่างหมู่บ้านและเมืองต่างๆ จึงเจริญขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหา และความยุ่งยาก ในเรื่องของน้ำหนัก และความบริสุทธิ์ของเนื้อเงิน

              ดังนั้น ผู้ที่ใช้โลหะเงินชำระหนี้ค่าสินค้า จึงมักรับรองในเรื่องน้ำหนัก และความบริสุทธิ์ของเนื้อเงิน โดยการประทับตรา อันเป็นเครื่องหมายเฉพาะตัว ลงไปบนแท่งเงิน จึงเกิดเป็น เงินตราขึ้น การค้าขายก็คล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่แม้เช่นนั้น การนำเงินแท่งประทับตรา ไปใช้ในเมืองที่ห่างไกลออกไป ก็ยังคงมีปัญหา เรื่องความบริสุทธิ์ของเนื้อเงิน ซึ่งโยงไปถึงเรื่องการยอมรับชำระหนี้ค่าสินค้า

เงินตราสุวรรณภูมิ


                   สุวรรณภูมิ เป็นดินแดนที่มีชนชาติต่างๆ อาศัยอยู่ นับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ติดต่อกันไม่ขาดสายจนปัจจุบัน เมื่อมีการก่อสร้างบ้านเมืองขึ้น หลายยุคสมัย อาณาจักรโบราณเหล่านี้ มีการติดต่อทางการทูต และการค้าขายกับอินเดียทางตะวันตก และจีนทางตะวันออก มาช้านานแล้วเช่นกัน ชนชาติต่างๆ นี้ ต่างก็ได้รับเอา  ความเจริญทางอารยธรรมของอินเดียเข้าไว้อย่างเต็มที่ นับตั้งแต่ก่อนพุทธกาล รวมทั้งลัทธิความเชื่อ ปรัชญาและศาสนา การเดินเรือมาจากทางตะวันตก ได้แก่ อินเดียและอาหรับนั้น จะแล่นเรือผ่านมหาสมุทรอินเดีย มาถึงบริเวณอ่าวเมืองตะโกลา หรือตะกั่วป่า จากนั้นก็ขนสินค้า เดินข้ามมาจนถึง ต้นแม่น้ำและล่องเรือ มาออกที่ปากอ่าวบ้านดอน อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีปัจจุบัน จากนั้นจึงแล่นเรือต่อไปยัง อาณาจักรโบราณต่างๆ เช่น ฟูนัน หรือ พนม เจนละ ทวารวดี ขอม จาม และจีน เป็นต้น หรืออีกทางหนึ่ง อาจจะแล่นเรือเลียบฝั่ง ล่องลงใต้ อ้อมแหลมมลายู ผ่านช่องแคบมะละกา ไปเกาะสุมาตรา ชวา โมลุกะ หรือ อาจจะอ้อมแหลมสุวรรณภูมิ ย้อนขึ้นเหนือ มายังเมืองปัตตานี นครศรีธรรมราช ไชยา ได้เช่นกัน  นักเดินทางที่เดินทางมายังสุวรรณภูมิ นอกจากพ่อค้าแล้ว ยังมีพวกพราหมณ์ ทั้งที่เป็นนักบวช และพวกที่อยู่ในวรรณะพราหมณ์ เดินทางเข้ามาด้วย นอกจากจะตั้งตัวเป็นผู้สอนศาสนาแล้ว ยังได้ตั้งหลักแหล่งลง ดังเช่นที่เมืองนครศรีธรรมราช และไชยา เป็นต้น บางครั้งพวกพราหมณ์ ยังสู้รบกับชนพื้นเมือง เมื่อชนะก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์ หรือบางทีก็เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์พื้นเมือง ความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ จึงเข้ามาแทนที่ การนับถือดั้งเดิมของชนพื้นเมือง ครั้นเมื่อพระพุทธศาสนาได้ตั้งมั่น และเป็นที่นับถือของประชาชนในอินเดียแล้ว ก็มีพระสงฆ์ มาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิเช่นกัน ในที่สุด ด้วยวัฒนธรรมของอินเดีย ที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างรุนแรง ดินแดนต่างๆ บนคาบสมุทรแห่งนี้ จึงรับเอาวัฒนธรรมของอินเดียไว้อย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านการปกครอง กฎหมาย ภาษา อักษร ปฏิทิน วรรณคดี นาฏศิลปะ ดนตรี สถาปัตยกรรม ชนชั้นวรรณะ ประเพณี ศาสนา เป็นต้น วัฒนธรรมของอินเดีย จึงเป็นบ่อเกิด เกือบทั้งหมดของวัฒนธรรมของชนชาติโบราณ ในสุวรรณภูมิทั้งหมด รวมทั้งอาณาจักรศรีเกษตร อาณาจักรพนม เจนละ ขอม ทวารวดี เป็นต้น การนำวัฒนธรรมของอินเดียเข้ามาใช้นี้ อาจจะนำมาใช้โดยตรง หรือดัดแปลงให้เข้ากับประเพณี วัฒนธรรมเดิมของตนก็ได้ ในบรรดาวัฒนธรรมต่างๆ จากอินเดียนั้น ระบบเงินตราทั้งรูปลักษณะ และมาตราเงิน ของอาณาจักรโบราณ บนคาบสมุทรแห่งนี้ ก็เป็นสิ่งที่แสดงถึง อิทธิพลทางวัฒนธรรมของอินเดีย ที่ชัดเจนเช่นกัน

เงินตราศรีเกษตร


              อาณาจักรนี้ ตั้งอยู่บริเวณภาคกลาง และภาคใต้ ของประเทศพม่าในปัจจุบัน ในสมัยต้นพุทธกาล หรือ ก่อน 2500 ปีมาแล้ว โดยชนชาติผิว หรือปยู ซึ่งตั้งบ้านเมืองใกล้กับเมืองแปร ในลุ่มแม่น้ำอิระวดี   ต่อมาชนชาติปยู นับถือพระพุทธศาสนา และได้รับความเจริญ ทางอักษรศาสตร์จากอินเดีย ในยุคที่รุ่งเรือง อาณาจักรนี้มีอำนาจปกครอง เกือบตลอดแหลมมลายู จนใน พ.ศ. 651 พวกมอญทางใต้ ได้ยกทัพเข้ามารุกราน และอาณาจักรนี้ก็เริ่มเสื่อมลง จนใน พ.ศ. 1375 อาณาจักรน่านเจ้า ก็ยกทัพลงมาทำลายลงโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในอำนาจของชนชาติพม่า เมื่อพระเจ้าอโนรทากษัตริย์ แห่งประเทศพม่า ก็แผ่อำนาจเข้ามาแทนที่เงินตราของอาณาจักรศรีเกษตร ทำเป็นเหรียญเงิน ด้านหนึ่งเป็นรูป ภัทรบิฐหรือบัลลังก์ ส่วนอีกด้านเป็นรูปปราสาท มีรูปเคารพอยู่ภายใน ด้านบนเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ ขนาบซ้ายขวาด้วยวัชระและหอยสังข์ ด้านล่างเป็นพื้นน้ำ มีทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ในรูปแบบเดียวกัน ในบางเหรียญ ใช้รูปหอยสังข์แทนรูปปราสาท

เงินตราพนม (ฟูนัน)


            อาณาจักรแห่งนี้ ตั้งขึ้นและเจริญรุ่งเรือง ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 6 ถึง 11 โดยมีเมืองออกแก้ว เป็นเมืองสำคัญ อยู่ที่บริเวณแม่น้ำโขงตอนล่าง ในประเทศเวียดนามปัจจุบัน ตามจดหมายเหตุของจีน กล่าวว่า อาณาจักรแห่งนี้ มีพระเจ้าแผ่นดินปกครอง ต่อมามีชาวอินเดีย วรรณะพราหมณ์รบกับชนพื้นเมืองชนะ แล้วได้สมรสกับนางพญาของอาณาจักรนี้ และปกครองอาณาจักรสืบต่อกันมา จนถึงพุทธศตวรรษที่ 12 จึงถูกพวกเจนละโจมตี เสื่อมลงและสลายตัวไปในที่สุดเงินตราของอาณาจักรแห่งนี้ เป็นเหรียญเงิน มีเพียงสองขนาดเช่นกัน ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กนั้น ด้านหนึ่งเป็นรูปพระอาทิตย์ครึ่งดวงฉายแสง ส่วนอีกด้านหนึ่ง เป็นรูปศรีวัตสะ หรือ ขนอกพระนารายณ์ ด้านบนเป็นรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์ ส่วนด้านล่างข้างซ้ายและขวาประกอบด้วย สวัสดิกะเครื่องหมายของความเป็นมงคล และกลองสองหน้าขนาดเล็กเรียกว่า ฑมรุที่ใช้ขับในพิธีทางศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูปัจจุบัน รูปที่กล่าวอาจเป็นบัลลังก์ หรือที่เรียกว่า ภัทรบิฐก็ได้เช่นกัน เหรียญเงินของฟูนันนี้ พบว่ามีอยู่มาก ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จึงเข้าใจว่า อำเภออู่ทอง คงจะเป็นเมืองท่าสำคัญในสมัยนั้น  นอกจากนี้ยังขุดพบเหรียญเงินที่กล่าว กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ เช่น ชลบุรี ชัยนาท ลพบุรี สวรรคโลก พิจิตร นครศรีธรรมราช ตลอดจนบางส่วนของประเทศพม่า ในปัจจุบันด้วย หลังจากอาณาจักรนี้ล่มสลายลงแล้ว เมืองสำคัญๆ ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาคกลาง บริเวณเมืองนครปฐมเป็นต้น ได้รวมตัวกัน เป็นอาณาจักรทวารวดีในเวลาต่อมา

เงินตราไทย


             ชนชาติไทย มีการผลิตเงินตราของตนเองขึ้นใช้ เป็นเวลานานแล้วเช่นกัน แต่การที่มีการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่น และการสู้รบกับผู้มีอำนาจปกครอง เจ้าของถิ่นเดิม เป็นเวลานานติดต่อกัน จึงยากที่จะระบุได้ว่า มีมาตั้งแต่เมื่อใด และรูปร่างเป็นอย่างไร แต่ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ชนชาติไทยได้ตั้งมั่น อยู่ภาคเหนือตอนล่างของประเทศ หลังจากขับไล่ขอมออกไปแล้ว ได้เริ่มผลิตเงินตราขึ้นใช้ เรียกว่า เงินพดด้วง     ในระยะแรกๆ ที่ผลิตเงินพดด้วงขึ้นนั้น มีน้ำหนักมากถึง 4 บาท และมีขายาว เรียกว่า เงินกำไลต่อมาภายหลัง เงินตราของอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่างก็ผลิตเงินพดด้วง ที่มีขนาดเล็กลง หนักเพียง 1 บาท และใช้เป็นเงินมาตรฐาน
              เงินพดด้วง ทำขึ้นจากแท่งเงิน ทุบปลายให้งอจรดกัน แล้วตอกตราประทับไว้ เป็นตราประจำแผ่นดิน และตราประจำรัชกาล ที่ผลิตเงินพดด้วงขึ้น  ในสมัยสุโขทัย เงินพดด้วงมีมากกว่า 2 ตรา ได้แก่ ตราช่อดอกไม้ ตราวัว กระต่าย ช้าง สิงห์ และหอยสังข์ เป็นต้น  มาในสมัยอยุธยา ตีตราเพียง 2 ตรา ได้แก่ตราจักร เป็นตราแผ่นดิน และตราอื่น ได้แก่ ดอกไม้ พระซ่อม พุ่มข้าวบิณฑ์ รัศมีเปลวเพลิง ครุฑ ช้าง หอยสังข์ ถ้าเป็นเงินพดด้วงขนาดเล็ก มักตีตราเดียว เช่น ช้าง และหอยสังข์กนก เป็นต้น
            ส่วนสมัยกรุงธนบุรี ใช้ตราตรี และจักร ในขณะที่สมัยรัตนโกสินทร์ ใช้ตราบัวอุณาโลม ครุฑ ปราสาท และมหามงกุฎคู่กับตราจักร เป็นต้น รวมเวลาที่มีการใช้เงินพดด้วง เป็นเงินตราของประเทศไทย นานกว่า 700 ปีติดต่อกัน
             ความเปลี่ยนแปลงของระบบเงินตราของไทยอย่างรุนแรง เกิดขึ้นในรัชกาลของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีชาวยุโรป เดินทางเข้ามาขอซื้อสินค้าไทย โดยเฉพาะข้าวเป็นอันมาก
              การผลิตเงินตราของประเทศด้วยมือ ไม่สามารถทำได้ทัน ต่อความต้องการ เพื่อให้มีการผลิตเงินตราได้เร็วขึ้น นอกจากจะมีการนำเงินกระดาษ หรือ หมายออกใช้แล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สั่งซื้อเครื่องมือทำเหรียญกษาปณ์ มาจากประเทศอังกฤษ และเริ่มผลิตเงินตราชนิดกลมแบนขึ้น แล้วนำออกใช้ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2399
            หลังจากนั้นเป็นต้นมา การผลิตเงินพดด้วง ก็ค่อยๆ ลดลง และเลิกผลิตโดยสิ้นเชิง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหันมาผลิตเหรียญเงินขึ้นแทน และนำธนบัตรเข้ามาใช้ ควบคู่กับเหรียญเงินเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. 2445 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ระบบการเงินของไทย ก็เริ่มจัดระเบียบ ให้สอดคล้องกับระบบการเงินสากล โดยมีเงินตราของประเทศประกอบด้วย เหรียญและธนบัตรมาจนปัจจุบัน

หอจดหมายเหตุราชหฤทัย


              หอจดหมายเหตุราชหฤทัย เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2547 ด้วยความตระหนักถึงคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ ของเอกสารและสื่อต่างๆ ที่เกิดขึ้นในธนาคาร และในปี 2550 ธนาคารดำเนินกิจการมาครบ 100 ปี ธนาคารจึงจัดตั้งหอจดหมายเหตุราชหฤทัยขึ้น เพื่อเก็บรักษา และให้บริการเอกสารที่มีคุณค่า และได้รับการประเมินว่า สมควรเก็บไว้ตลอดไป ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญ ที่สามารถแสดงถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน ความเป็นมา และการดำเนินงานของธนาคารในอดีต

ข้อมูลการบริการและระเบียบการใช้บริการหอจดหมายเหตุ


•           การสืบค้นจดหมายเหตุ แบ่งตามลักษณะของวัสดุที่ให้บริการ ได้แก่
-           เอกสาร
-           รูปภาพ
-           สไลด์/ฟิล์ม
-           สมุดคู่ฝาก
-           รายงานประจำปี
-           แผ่นพับ/จุลสาร
-           แผนผังแบบแปลน
-           บัตร
-           ฯลฯ
•           การสืบค้นผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร แบ่งเป็นประเภท ได้แก่
-           เงินฝาก
-           สินเชื่อ
-           ประกัน
-           ฯลฯ
•           บริการของหอจดหมายเหตุ
- บริการแนะนำการใช้บริการและการสืบค้นข้อมูล
- บริการสืบค้นข้อมูลเอกสารต่างๆ ที่ผู้ค้นคว้าต้องการ
- บริการตอบคำถามทางโทรศัพท์ / จดหมายอิเลคทรอนิกส์
- บริการทำสำเนาเอกสารภายในหอจดหมายเหตุ
•           ระเบียบการใช้บริการ
-           หอจดหมายเหตุแห่งนี้ให้บริการพนักงานธนาคาร นักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ และผู้สนใจทั่วไป
-           เปิดบริการวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 - 17.00 น. พักเที่ยง (ไม่หยิบเอกสาร เวลา 12.00 - 13.00 น.)
ปิดบริการวันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดธนาคาร
-           ผู้ทำสำเนา หรือพิมพ์ข้อมูล จะต้องเสียค่าใช้จ่ายตามที่กำหนด
-           ผู้ใช้บริการจากภายนอก ใช้บริการโดยแจ้งชื่อ ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้
-           ถ้าผู้ค้นคว้าเป็นชาวต่างประเทศ ต้องขออนุญาตจากกรรมการผู้จัดการใหญ่ก่อน
•           ขั้นตอนการใช้บริการค้นคว้าจดหมายเหตุ
1.          ผู้เข้าใช้ลงชื่อการเข้าใช้บริการ
2.          ผู้เข้าใช้แจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ เพื่อแนะนำการค้นคว้า
3.          ค้นหาเอกสารจากคู่มือช่วยค้นที่จัดทำไว้ เช่น รายการเอกสาร ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์
4.          หากต้องการขอเอกสารออกมาค้นคว้าข้อมูล ให้กรอกแบบฟอร์มส่งให้เจ้าหน้าที่เพื่อหยิบเอกสารออกมาให้
5.          หากต้องการทำสำเนาเอกสาร ผู้เข้าใช้ต้องกรอกแบบฟอร์มและส่งให้เจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตแล้วเจ้าหน้าที่ จึงจะทำสำเนาเอกสารให้
6.          ผู้ค้นคว้าจะต้องรับผิดชอบเอกสารตลอดเวลาที่ใช้เอกสารอยู่ และใช้เอกสารด้วยความระมัดระวัง
- ห้ามขีดเขียน หรือทำเครื่องหมายอย่างใดๆ ลงในเอกสาร
- ห้ามใช้ปากกาหมึกซึมในห้องค้นคว้า ใช้ได้เฉพาะดินสอดำเท่านั้น
- ห้ามแยกเอกสารออกจากปึก
- ห้ามนำเอกสารออกจากห้องค้นคว้า
7.          หากมีเอกสารขาดหรือเกินจากที่ขอยืม หรือเอกสารชำรุด กรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่
8.          ก่อนส่งเอกสารคืน ให้ผู้ค้นคว้าเรียงเอกสารตามลำดับให้ถูกต้อง และตรวจความเรียบร้อยของเอกสารด้วย
หมายเหตุ การขอสำเนาเอกสารต่างๆในหอจดหมายเหตุฯ นี้ จะใช้เพื่อการศึกษา ค้นคว้าเท่านั้น หากต้องการจะนำไปเผยแพร่ด้วยวิธีการใดๆ ผู้ต้องการสำเนาจะต้องขออนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของเอกสาร และต้องได้รับอนุญาตจากหอจดหมายเหตุด้วย

รางวัลแห่งความภูมิใจ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น